บริเวณหน้าแรกของ Google นั้นเป็นพื้นที่ฟรีที่รอทุกท่านเข้าไปจับจอง บางพื้นที่ก็มีคนแวะเวียนมามาก บางพื้นที่ก็ไม่มีใครเข้ามาเลย ซึ่งแน่นอน การที่เราจะขายของได้นั้น จำเป็นจะต้องเอาร้านค้าของเราเข้าไปอยู่ในบริเวณที่มีคนเดินผ่านมาก ๆ ซึ่งบนหน้า Google มันคือ Keywords ที่มีคนค้นหาเยอะ ๆ
Keywords จึงเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรก ของคนที่ต้องการจะไปอยู่บนหน้าแรกของ Google ต้องคำนึงถึง เพราะถ้าเราติดหน้าแรกในคำที่ไม่มีคนค้นหา มันก็เปล่าประโยชน์ที่จะไปอยู่ตรงนั้น เหมือนกับเราวางขายของในบ้านที่ไม่มีคนเดินผ่าน แทนที่จะไปตั้งขายในตลาดที่มีคนมากมาย
จุดเริ่มต้นมาจากการที่ผมพบว่าเครื่องมือหา Keywords ของ Google ที่เรียกว่า Google Keywords Planner ที่ตัวฟรีนั้นแสดงจำนวนคนค้นหาไม่เหมือนกับ Account ที่จ่ายเงิน โดยที่ผมรู้มาจากเพื่อนที่จะเริ่มทำ Google Adwords อีกทีตอนที่เขามาถามและผมก็เห็นว่าหน้าที่ผมดูกับที่เขาดูนั้นไม่เหมือนกัน ผมจึงจำเป็นต้องหาเว็บไซต์ในการทำส่วนนี้แทน เพื่อใช้แนะนำให้คนใหม่ ๆ สำหรับเรื่องนี้ไปลองศึกษา
KW Finder
เว็บไซต์แรก ตัวนี้แสดงผลเหมือนกับ Google Keywords Planner มากที่สุด เพราะพอใส่คำที่เราต้องการไปแล้ว มันจะแสดงผลออกมาเป็น Keywords แนะนำอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกับคำที่เราใส่ไป จำนวนคนค้นหาโดยประมาณที่ค่อนข้างตรงกับ Google Keywords Planner อยู่พอสมควรเลยทีเดียว
แต่ก็มีข้อจำกับอยู่เหมือนกัน ตอนที่ผมใช้ครั้งแรก จำกัดการค้นหาอยู่ที่ 5 ครั้งต่อวัน ผ่านมาหลายเดือนเหลือ 3 ครั้งต่อวัน ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าตอนที่ทุกท่านอ่านบทความนี้อยู่นั้น เขาจะปรับลดไปเหลือเท่าไหร่แล้ว
ถ้าให้คะแนน สำหรับเครื่องมือฟรีแล้ว ตัวนี้ผมแนะนำเป็นอย่างมาก เจอใครผมก็บอกต่อให้เขาเข้าไปใช้ เพราะการแสดงผลที่ละเอียดมาก แถมมีช่องประเมินคู่แข่งมาให้อีก เป็นส่วนที่ Google Keywords Planner ไม่มี
SEO Chat
เว็บไซต์นี้ดีตรงที่ จะทำให้คุณหาไอเดีย Keywords มากมาย เท่าที่ผมลองเล่นแล้วยังไม่พบข้อจำกัดอะไร แต่ไม่รู้ว่าขณะที่ท่านอ่านบทความอยู่เขาได้เปลี่ยนกฎอะไรบางอย่างไปหรือยัง
เครื่องมือนี้มันดีตรงที่ เขาได้มีการแยก Keywords ไว้เป็น 3 ระดับด้วยกัน ตั้งแต่ระดับสั้นที่สุด ไปจนถึง Longtail Keywords ซึ่งแต่ละระดับนั้น คือ
Keywords Level 1 เป็นคำพื้นฐานทั่วไป เช่น รองเท้า, ตู้เย็น, คอมพิวเตอร์, เก้าอี้, โรงแรม ซึ่งเป็นคำเรียกทั่วไป ปกติคำพวกนี้ถ้าติดหน้าแรก มักจะส่งให้คนเข้าเว็บไซต์เป็นจำนวนมาก แต่อัตราการซื้อขายจากการค้นหาผ่านคำพวกนี้จะไม่มากเท่าที่ควร เพราะมันเป็นคำทั่วไป ที่ไม่ได้มีแต่คนที่ต้องการจะซื้อของเท่านั้นที่ค้นหา
Keywords Level 2 เป็น Keywords ที่มีคำขยายมาจาก Level 1 อีกทีหนึ่ง จะมีรายละเอียดลงลึกเข้าไปอีกระดับหนึ่ง อาจจะเป็นยี่ห้อสินค้า หรือรายละเอียดย่อยของสินค้า เช่น รองเท้า nike, รองเท้าตัดพิเศษ, ตู้เย็น Sharp, ตู้เย็น 9 คิว เป็นต้น จะเห็นว่ามันจะเป็นคำที่ลึกลงมาเริ่มเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
Keywords Level 3 เป็น Keywords ที่ลงรายละเอียดมากขึ้นจาก Level 2 ปกติคำที่มาถึงระดับนี้ มักจะเป็นคำที่มีมูลค่าสูงมาก หมายความว่า ถ้ามีคนค้นหาคำที่ลึกถึงระดับนี้แล้ว แสดงว่ามีความต้องการในตัวสินค้าสูงมากทีเดียว ตัวอย่างเช่น รองเท้า Nike Airmax, ตู้เย็น Sharp 9 คิว, เก้าอี้ ไม้สัก ทรงโบราณ, โรงแรม โซฟิเทล หัวหิน
จะเห็นว่าแต่ละคำจะเป็นคำที่ลงลึก และเฉพาะเจาะจงมาก ซึ่งปกติถ้ามีคนค้นหาถึง Keywords ระดับนี้ มักจะมีการปิดการขายที่ง่าย เพราะจะเป็นคนที่ต้องการเต็มที่ในการที่จะซื้อสินค้าและบริการเหล่านั้นอยู่แล้ว
ซึ่งเว็บไซต์นี้ได้ให้ Keywords ที่เกี่ยวข้องกับที่เราต้องการถึง 3 ระดับด้วยกัน ซึ่งเหมาะมากกับการเอา Keywords เหล่านี้ไปใช้ที่หน้าเว็บไซต์ และใช้ในการทำ SEO หรือการทำให้ติดหน้าแรกของ Google ต่อไป ซึ่งต้องบอกว่า Keywords Level 3 มักจะเป็น Keywords ที่ติดหน้าแรกค่อนข้างง่ายเสียด้วย
Google Trends
ตัวนี้เป็นเครื่องมือฟรีของ Google ที่ฟรีจริง ๆ และยังคงใช้ฟรีอยู่จวบจนปัจจุบัน เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบ Keywords แบบละเอียด หลังจากที่ได้ลองหา Keywords มาอย่างละเอียดแล้วจากเว็บไซต์สองตัวด้านบน เพราะเว็บไซต์นี้จะแสดงผลเป็นรายสัปดาห์ ย้อนหลังได้ไปเป็น 10 ปีเลยทีเดียว ถือว่าเป็นเครื่องมือฟรีที่ดีมาก ๆ
แต่ข้อเสียของมันอยู่ที่ ไม่ได้แสดงจำนวนคนค้นหาจริง ๆ เว็บไซต์นี้เหมาะกับการเปรียบเทียบ Keywords มากกว่า ดังนั้นผมมักจะใช้ในการเปรียบเทียบ Keywords อย่างเดียว เพราะมันจะให้ค่าเต็ม 100 ไม่ว่า Keywords นั้นจะมีปริมาณการค้นหาอยู่เท่าไหร่ มันก็จะสูงสุดที่ 100 ดังนั้น มันจึงเหมาะกับการเอาไว้เปรียบเทียบ Keywords อย่างมาก
ปกติผมมักจะใช้ตอนที่สงสัยว่า คนไทยค้นหาคำลักษณะไหนมากกว่ากัน ในคำที่ความหมายคล้ายกัน เช่น
จากภาพ จะเห็นว่าสเกลจะมีแค่ 100 เท่านั้น โดยผมเปรียบเทียบคำว่า Lnwshop กับ inwshop ให้ดูเล่น ๆ
ส่วนเว็บอื่น ๆ เท่าที่ผมดูจะให้ข้อมูลที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เช่น
- จำนวน Keywords มากมาย แต่ไม่มีจำนวนคนค้นหา (เว็บแรกเปิดเผยหมด ส่วนเว็บที่สองไม่มี แต่มีส่วนอื่นมาทดแทน)
- จำกัดการแสดง Keywords ซ่อนการแสดงผลไว้ ทำให้แสดงผลได้ไม่หมดที่มี (เว็บที่สองเท่าที่รู้ไม่มีจำกัด)
- คำข้างเคียงที่ตรงกับคำข้างต้นที่เราใส่ไป บางเว็บไม่มีคำข้างเคียงแบบข้างเคียงจริง ๆ เช่น เราใส่คำว่า “สอน” ก็จะไม่โผล่คำว่า “เรียน” มาให้ดู (แต่เว็บแรกมี)
- ส่วนใหญ่ไม่รองรับประเทศไทย (แต่ทั้งสามเว็บที่ให้มา รองรับทั้งหมด)
ขั้นตอนการใช้งานเว็บไซต์ทั้ง 3 นั้น ปกติผมจะทำตามขั้นตอนแบบนี้
- ใช้เว็บ KW Finder เพื่อหาไอเดียในการหา Keywords กว้าง ๆ เพราะเราจะเห็นข้อมูลในแง่ของปริมาณการค้นหาครบถ้วน เลือกและจดออกมา
- ใช้เว็บ SEO Chat เพื่อหา Keywords ที่เชื่อมโยงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Keywords ที่ผมหามาในข้อแรก
- ใช้ Google Trend เพื่อเปรียบเทียบขั้นตอนสุดท้ายอีกครั้ง กรณีที่เรามีคำที่คล้ายกัน ก่อนนำไปใช้
เว็บไซต์ทั้งหมดที่ผมเอามาให้ลองเล่นดูนั้น ผ่านการกรองเหล่านี้มาหมดแล้ว ดังนั้น สามารถใช้ได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน ลองไปใช้ดูครับ ส่วนหลังจากที่ได้ Keywords มาแล้วเอาไปทำอะไรที่หน้าเว็บได้บ้าง เอาไว้บทความอื่น ๆ แล้วกันนะครับ สำหรับบทความนี้เอาเฉพาะเรื่องเครื่องมือการหา Keywords ไปก่อนครับ