มีใครเคยดู The Joneses บ้างไหมคะ ? เชื่อไหมคะว่าหนังเก่าจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จะสอนการตลาดที่ยังทันสมัย และไม่เก่าเลยให้คุณได้! เราเองได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้แบบภาคบังคับจากหลักสูตร #DNA5bySPU ที่ไปเรียนมาค่ะ โดยโจทย์ที่ได้คือให้ดูหนังเรื่องนี้ แล้วสรุปแนวคิดที่ได้จากหนังเรื่องนี้ ตอนได้รับโจทย์ก็ หืมมม หนังอะไรนะ ไม่เคยดูเลย แต่พอดูจบแล้ว ถึงกลับอยากแชร์ต่อ จนกลายมาเป็นบล็อกนี้เลยล่ะ ว่าแต่ The Joneses คือหนังอะไร แล้วเกี่ยวกับการขายอย่างไร บทความนี้มีคำตอบค่ะ อ่อแต่ต้องบอกก่อนว่า บทความนี้มีหลุดสปอยแน่ ๆ ดังนั้นใครยังไม่ได้ดู แนะนำว่าดูก่อนก็ดีน้า
The Joneses แฟมิลี่ลวงโลก
The Joneses เป็นเรื่องราวของครอบครัวโจนส์ ที่มีไลฟ์สไตล์โดดเด่น มีหน้าตาในสังคม เป็นที่น่าอิจฉาของเหล่าเพื่อนบ้าน แต่ภาพลักษณ์ที่ทุกคนเห็นนั้น คือสิ่งที่สร้างขึ้น จริง ๆ แล้ว ครอบครัวโจนส์คือ Live Catalog แคตตาล็อกสินค้าที่มาในรูปของคนจริง ๆ ที่จับต้อง พูดคุย และสัมผัสได้ยิ่งกว่าแคตตาล็อกไหนในโลก
สมาชิกทั้งหมดในครอบครัวโจนส์ เป็นเพียงพนักงานขายของบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ถูกจ้างมาเพื่อเชิญชวนให้ขายสินค้า หรือบริการใด ๆ ที่ครอบครัวโจนส์ใช้ให้กับเหล่าเพื่อนบ้าน ซึ่งสำคัญครอบครัวนี้ ขายเก่งสุด ๆ เลยล่ะ
แนวคิดที่ได้จาก The Joneses
- จะขายของต้องรู้ Inside ของลูกค้า เหมือนกับประโยคที่ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ก่อนจะเริ่มย้ายเข้ามาลวงโลกที่โลเคชั่นนี้ ครอบครัวโจนส์ทำการบ้านกันมาอย่างหนัก เพื่อให้รู้จักลูกค้าของเขาให้ดี ซึ่งการรู้จักลูกค้าของโจนส์นั้น มองไปถึง Lifestyle ของว่าที่ลูกค้าอย่างเจาะลึกเลยล่ะ
- รู้จักลูกค้าแล้ว ต้องรู้จักสินค้าของตัวเองให้ดี การจะขายอะไร ต้องเข้าใจสินค้าด้วย Product is King ประโยคนี้ไม่ใช่แค่ว่าของต้องดี แต่หมายถึงการให้ความสำคัญกับสินค้า สินค้าเป็นตัวเอก ที่เราต้องนำเสนอ ถ้าเราไม่เข้าใจสินค้า เราก็จะไม่สามารถทำให้ลูกค้าเชื่อในสินค้าของเราได้เช่นกัน ในหนังเรื่องนี้เราจะเห็นว่า ครอบครัวนี้ จะมีการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ หรือประชุมเพื่อทำความเข้าใจสินค้าก่อนขายอยู่เรื่อย ๆ
- คิด Segment/Target ให้ดี อย่าเหมาทั้งตลาดด้วยกลยุทธ์การตลาดเดียว ครอบครัวโจนส์มีกันทั้งหมด 4 คน เพื่อที่จะได้แบ่งงานในการเข้าถึงแต่ละกลุ่มลูกค้า โดยแต่ละคนก็จะมีหน้าที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าของตัวเอง เพราะลูกค้าแต่ละกลุ่ม มีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน กลยุทธ์ที่ดีกับลูกค้ากลุ่มหนึ่ง อาจจะใช้ไม่ได้ผลกับลูกค้าอีกกลุ่ม หรือกระทั่งสินค้าที่เหมาะกับคนกลุ่มหนึ่ง ก็อาจจะไม่เหมาะกับอีกกลุ่มได้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ออกกำลังกาย ก็ยังแบ่งได้ทั้งตามชนิดของกีฬา, เพศ หรือช่วงอายุของคนเล่น ซึ่งกลยุทธ์ที่จะเข้าหาลูกค้าที่จะซื้ออุปกรณ์กีฬาแต่ละกลุ่มก็ย่อมจะไม่เหมือนกัน
- Experience is the best พูดบรรยายสรรพคุณให้ตายยังไง ก็ไม่ดีเท่าลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์จริง คุณพ่อโจนส์ตีกอล์ฟอวดเพื่อน เพื่อขายไม้กอล์ฟ ก็อาจจะขายได้สักหน่อยนึง แต่เมื่อให้เพื่อนได้ลองใช้ แล้วรู้สึกตามว่าดีจริง (ถึงบางทีอาจจะแค่อุปาทานหมู่) ย่อมจะขายได้มากกว่า อย่างในเรื่อง หากเรามองเห็นกล่องซูชิสำเร็จรูปในซุปเปอร์มาเก็ต เราคงยังแคลงใจกับรสชาติและไม่กล้าซื้อ แต่เมื่อได้ลองชิมก่อน ก็ย่อมจะมองมุมบวกได้มากขึ้น ที่สำคัญยังสามารถก่อให้เกิด Word of Mouth บอกต่อแบบปากต่อปากจากคนที่ได้สัมผัสไปยังกลุ่มคนอื่น ๆ ทำให้เราขยายฐานลูกค้าต่อไปได้อีกด้วย เหมือนกับที่คุณแม่โจนส์พาเพื่อนมาลองใช้ห้องน้ำที่บ้าน แล้วเพื่อนก็เม้าส์ให้กับเพื่อนของเพื่อนฟังนั่นเองค่ะ
- เพื่อนเชื่อเพื่อนมากกว่าแบรนด์เสมอ ระหว่างโรงเรียนสอนทำอาหารออกมาสอนวิธีทำอาหาร แล้วบอกว่าทำง่ายนิดเดียวเอง กับเพื่อนที่แอบกระซิบบอกเคล็ดลับที่ทำให้เมนูนี้ทำได้ง่าย ๆ คุณคิดว่าคุณจะเชื่อใครมากกว่ากัน
- Influencer Marketing การตลาดผ่านผู้มีอิทธิพลช่วยเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ของคุณได้ พูดเอง คนอาจจะเชื่อหลักสิบ แต่หากให้ Influencer พูด ย่อมมีอิทธิพลต่อความเชื่อของคนมากกว่า ในเรื่องนี้คุณพ่อโจนส์เองถือว่าเป็นนักกอล์ฟที่มีฝีมือคนนึง เขาจึงเหมือนกับเป็น Micro Influencer ในแวดวงกอล์ฟของเพื่อน ๆ ดังนั้นการแนะนำสินค้าของเขา จึงดูน่าเชื่อถือขึ้นมากทีเดียว แต่ด้วยพลังของเขาอาจจะยังไม่มากพอ เขายังเป็น micro influencer น้อย ๆ เมื่อต้องการยอดขายที่มากขึ้น เขาเลยขยับไปใช้ Influencer ที่เป็นมือโปรฯประจำสนาม ให้แนะนำสินค้าของเขาแทน
- ทำการตลาดต้อง Tracking ผลลัพธ์ได้ ลงทุนทำโฆษณาไปก็ตั้งเยอะ ยอดขายที่ได้มากจากโฆษณาเท่าไหร่…ไม่แน่ใจ ? ในเวลาที่เราขายของ เราเองอาจจะใช้ 108 กลยุทธ์เพื่อพิชิตใจลูกค้า แต่กลยุทธ์ไหนล่ะที่ได้ผล การติดตามผล วัดผลออกมา จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้เรารู้ได้ดีว่า กลยุทธ์ของเราเวิร์คแล้วหรือยัง อย่างในหนังเรื่องนี้ก็จะมีการพูดถึงเป้ายอดขาย ซึ่งเมื่อเห็นว่าช่วงนี้ยอดดี หรือยอดตก ก็ย่อมจะรู้ได้ว่ากลยุทธ์ที่เราใช้มาก่อนหน้านี้เวิร์ค หรือไม่เวิร์ค
- เข้าใจตัวเองให้มากพอ และเป็นตัวเองดีที่สุด! ในหนังเรื่องนี้ลูกชายของครอบครัวไม่ยอมบอกใครว่าตัวเองเป็น LGBT จึงโดนมอบหมายให้ขายสินค้าชนิดหนึ่งผ่านแฟน (ผู้หญิง) ซึ่งเขาก็ทำได้ไม่ดี จนเกือบจะทำให้แบรนด์ (ตัวเขา) พังไปเพราะความฝืนตัวเองอีกด้วย แต่เมื่อเขายอมรับในความเป็นตัวเอง เข้าใจตัวเอง นอกจากจะมีความสุขแล้ว ยังสามารถเปลี่ยนกลยุทธ์การขายให้เข้ากับตัวเอง และทำให้ยอดขายดีขึ้นได้อีกด้วย
- Emotion Marketing กระตุ้นต่อมวู่วามได้ดีเสมอ ถึงแม้เพื่อนบ้านของโจนส์จะไม่มีเงิน จนบ้านจะโดนยึด แต่ด้วยความอิจฉา (ไม่ใช่ Emotion ที่ดีเท่าไหร่) ก็อยากได้ของแบบเดียวกับที่โจนส์ใช้ จึงไม่คิดหน้าคิดหลัง วู่วามซื้อสินค้าตามโจนส์อยู่จนพบกับจุดจบเศร้า ซึ่งในแง่ของนักการตลาด คงต้องบอกว่า Emotion กระตุ้นยอดขายได้จริง แต่ก็ต้องมีสำนึกต่อสังคมด้วยนะคะ
- ทำตามหน้าที่ ไม่จำเป็นต้องเมินความเป็นคน ถึงแม้ครอบครัวของโจนส์จะเป็นนักขายมืออาชีพ ที่มาทำงานด้วยกัน และสร้างความสัมพันธ์ปลอม ๆ ขึ้นมา แต่ยังไงก็ตาม การทำงานด้วยกัน Team Work เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ดังนั้นอย่าให้หน้าที่ หรือหัวโขนปลอม ๆ มาบดบังจนลืมคิดถึงใจคนในทีม
และนี่ก็คือแนวคิดที่ได้จากหนังเรื่อง The Joneses แฟมิลี่ลวงโลก หนังเก่าที่ยังเก๋า และให้แนวคิดดี ๆ ในแบบที่นักการตลาด,นักธุรกิจ หรือใครก็ตามที่กำลังหาแนวคิดเพื่อขายของอยู่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งเลยล่ะค่ะ อ่านกันจบแล้วอย่าลืมไปหาดูกันนะ แล้วได้แนวคิดอะไรมาแชร์ให้ฟังกันบ้างนะคะ